วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บทที่ 5 วัฏจักร (วงจรชีวิต) การพัฒนาระบบการจัดการความรู้

Compare CSLC and KMSLC​


Conventional System Life Cycle versus KM System Life Cycle
วงชีวิตการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม กับ วงจรพัฒนาการจัดการเรียนรู้

Key Differences ความแตกต่างที่สำคัญ
  1. นักวิเคราะห์ระบบจะกระทำกับสารสนเทศที่มาจากความต้องการของผู้ใช้
  2.  ผู้ใช้งานจะรู้ปัญหาเป็นอย่างดีแต่ไม่รู้ทางแก้ ตรงกันข้ามผู้เชียวชาญจะรู้ทั้งปัญหาและทางแก้
  3. วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมโดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนที่เป็นลำดับ มาก่อนมาหลัง​ KM SLC การพัฒนาแบบเพิ่มพูลพัฒนาทีละส่วนจนเสร็จก่อนถึงจะนำไปใช้ได้​
  4. การทดสอบระบบ ปกติจะกระทำขั้นตอนสุดท้ายของวงจร แต่ถ้าป็น KM system testing จะเข้าไปมีส่วนตั้งแต่เริ่มต้นเลย
  5. วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่อนไปด้วยกระบวนการ หรือเรียกว่า มีการกำหนดความต้องการและค่อยสร้างมันขึ้นมา ​แต่ ถ้าเป็นวงจรชีวิตของ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ ไม่ได้มุ่งเน้นถึงกระบวนการ เราจะต้องได้ระบบนี้ขึ้นมาใช้​ 
➤Key Similarities​ หลักที่สำคัญ
  1. ทั้งสองของวงจรเริ่มต้นด้วยปัญหาและสิ้นสุดด้วยทางแก้
  2. ทั้งสองเริ่มต้นจากการไปเก็บรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากผู้ใช้
  3. ระบบทำงานได้ถูกต้อง ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมันเป็นระบบที่เหมาะสม ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้งาน
  4. ผู้พัฒนาระบบทั้งสองแบบมักจะเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมหลายๆวิธี หลายเครื่องมือมาใช้สำหรับการออกแบบระบบที่เขาคาดหวัง ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
➤ผู้ใช้กับผู้เชี่ยวชาญ
  1. ถ้าเป็นระบบแบบดั้งเดิมผู้ใช้จะขึ้นตรงต่อระบบจ่อความต้องการค่อนข้างสูงแต่ผู้เชียวชาญจะต่ำ จนถึงไม่เลย
  2. ความร่วมมือ ต้องการความร่วมมือจากผู้ใช้ แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ต้องการ
  3. ความแปรปรวน ความคลุมเคลือ ผู้ใช้จะน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญมาก
  4. ความรู้เกี่ยวกับปัญหา ผู้ใช้จะรู้ปัญหามาก ผู้เชี่ยวชาญค่อนข้างกลางๆ-น้อย
  5. การมีส่วนร่วมผู้ใช้จะเอาสารสนเทศที่ระบบสร้างขึ้นมาใช้งาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเอาสารสนเทศที่ระบบสร้างขึ้นมาใช้งาน
  6. ความพร้อมในการพัฒนาระบบ ผู้ใช้ค่อนข้างพร้อมใช้งาน ผู้เชี่ยวชาญไม่ เพราะ เขาจะไม่เปิดเผยก็ได้
ขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้มี 8 ขั้นตอน
  1. ประเมินโครงสร้างเพื่อนฐานที่มีอยู่
  • มีความรู้อะไรมั้ยที่จะหายไปจากการเกษียรอายุ แต่เขายังไม่ได้ถ่ายทอดทั้งหมดมันก็จะหายปพร้อมกับตัวเขา หรือหายไปจากการโอนย้ายไปอีกฝ่ายนึง
  • ระบบ KM ที่นำเสนอต้องนำมาใช้ในหลายๆพื้นที่ ​หลายๆฝ่ายหรือป่าว อาจจะต้องมีความซับช้อนมากขึ้น​
  • ผู้ชี่ยวชาญมีอยู่รึป่าว มีความตั้งใจรึป่าว
  • ปัญหาต่างๆที่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบต้องใช้ประสบกาณยาวนานหลายๆปีรึป่าว ต้องใช้ tacit รึป่าว 

     2.จัดตั้งทีม KM​
  • ผู้ที่เป็นหลัก ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบ KM​
  • ความสามารถของสมาชิกในทีม
  • ขนาดของทีม ทีมที่จะประสบความสำเร็จ ขนาด 7 คนโดยเฉลี่ย
  • ความซับซ้อนของโครงการ ถ้าซับซ้อนมากโอกาสที่ทีมจะสำเร็จน้อย
  • ภาวะผู้นำ ความสามรถที่จะดึงดูดให้ลูกน้อมาทำงานด้วยความเต็มใจ สั่งไปแล้วลูน้องไม่ทำคือไม่มี
  • ภาวะผู้นำ ​แรงจูงในของทีม
  • ไม่สัญญามากไปกว่าสิ่งที่เราจะส่งมอบ สิ่งที่เป็นความเป็นจริงของระบบที่เราจะส่งมอบ

     3. แหล่งความรู้
  • ความรู้ที่ชัดเจนจับในที่เก็บจากสื่อต่าง ๆ
  • ความรู้ที่เงียบสงบถูกบันทึกจากผู้เชี่ยวชาของ บริษัท โดยใช้เครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ
  • นักพัฒนาจะไปดึงความรู้จากผู้เชียวชาญมาสร้างฐานความรู้มาไว้ในระบบ เพื่อนที่จะมา input ในการประมวลผลและได้ความรู้ต่างๆ

     4. ออกแบบพิมพ์เขียว
  • ขั้นของการออกแบบพิมพ์เขียวของระบบ KM ออกแบบได้ในหลายๆทาง สุดท้ายแล้วขอบเขตที่เราต้องการมันจะต้องถูกคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ
  • มีการตัดสินใจอยู่บนองค์ประกอบของความต้องการของระบบ
  • มีการพัฒนาระบบดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมการพัฒนาระบบ Km​
  • ระบบนี้อาจจะต้องสามารถใช้งานระว่างโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกันได้ สามารถขยายขนาดได้ ​

     5. ทดสอบระบบ
  • วิธีการตรวจสอบความเหมาะสมของระบบ เพื่อที่จะแน่ใจว่าระบบมีฟังก์ชั่นการทำงานที่เหมาะสม
  • วิธีการตรวจสอบเพื่อที่จะแน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์ที่ถูต้อง
  • ตรวจสอบความถูกต้องของ KM ที่ไม่ได้ผิดพลาดจากความประมาท ​เช่นเราจะต้องเขียนโปรแกรมให้อ่านแต่ตัวเลข

     6. ใช้งานระบบ

  • เปลี่ยนไปสู่ระบบ Km ใหม่
  • การเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในเอกสาร หรือกระดาษให้อยู่ในรูปแบบ DATA / file​
  • อบรมผู้ใช้งาน
  • ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล
  • ตรวจถึงความคลุมเครือ ​
  • ตรวจความผิดพลาดระหว่าง เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด 
     7. การเอาระบบไปใช้



  • เป้าหมายคือต้องการลดแรงต่อต้านที่จะเกิดขึ้นจากผู้เชียวชาญ
  • ผู้ใช้
  • พนักงาน
  • ผู้ที่ก่อกวน
  • สะท้อนออกมาในรูปปฏิกิริยาโต้ตอบ เช่น บอกให้จะต้องกำหนด pass ไม่ตำว่า 8 หลัด เขาอาจจะไม่ทำตาม หลีกเลี่ยง ก้าวร้าว ​

     8. ประเมินผลจากการที่เอาระบบไปใช้แล้ว

  • ผลกระทบ
  • คน
  • ประสิทธิภาพของธุรกิจ
  • ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพ จะสามารถทำให้เราแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
  • ทัศนคติของผู้ใช้งาน ผลลัพธ์ของการเอาระบบไปใช้ จะให้มองเห็นถึง ​
  • ต้นทุน เช่น ค่าใช้จ่าย วัสดุ สนง. กระดาษ กล้อง รวมถึงต้อนทุนที่เราจะปรับระบบให้ทันสมัย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น