วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

วิธีการใช้ Joomla


          Joomla เป็นโปรแกรม OpenSource ทีใช้สำหรับสร้างหรือพัฒนาเว็บไซต์ หรือบริหารจัดการเนื้อหารวมถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น และยังเป็น CMS ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ อีกด้วย joomla ก็มีการ Update เวอร์ชั่นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า การออกแบบเว็บไซต์ด้วย CMS joomla จะมีความปลอดภัย ซึ่งปัจุบัoได้มีการปล่อย Joomla 3.7 ให้ได้ทดลองใช้กันแล้ว โดยขั้นตอนและวีธีการติดตั้ง Joomla 3.7 มีดังนี้  ก่อนอื่นเราต้องมีโปรแกรมจำลอง server ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน โดยใช้ Xampp จากนั้นทำการเราก็ start Apache และ MySQL ใน Xampp ซึ่งเราจะใช้ในการสร้างฐานข้อมูล

ขั้นตอนที่ ดาวน์โหลดไฟล์ Joomla 3.7 ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน เมื่อเราโหลดไฟล์มามันจะเป็นไฟล์ .zip ให้เราทำการแตกไฟล์ก่อน

ขั้นตอนที่ 2. สร้างโฟล์เดอร์ตามชื่อไฟล์ที่เราโหลดมาในไดฟ์ที่มีโฟล์เดอร์ xampp :C > xampp > htdocs >สร้างโฟล์เดอร์ เมื่อสร้างโฟล์เดอร์แล้วให้นำไฟล์ที่เราแตกไฟล์มาวางในในโฟล์เดอร์ที่สร้าง


ขั้นตอนที่ 3. เมื่อวางไฟล์เรียบร้อยแล้ว ให้เปิด phpMyAdmin ขึ้นมา โดยพิมพ์คำว่า localhost บนบราวน์เซอร์ เพื่อสร้างฐานข้อมูล
3.1 เลือก databases
3.2 สร้างฐานข้อมูลชื่อเดียวกับโฟล์เดอร์ที่เราสร้างไว้
3.3 ให้ใส่ utf8_general_ci
3.4 คลิก create
เปิด phpMyAdmin ขึ้นมา

ขั้นตอนที่ 4. หลังจากที่สร้างฐานข้อมูลเสร็จแล้ว ให้พิมพ์ locaalhost /ชื่อฐานข้อมูลที่เราสร้างไว้เมื่อสักครู่บนบราวน์เซอร์ ตัวอย่าง localhost/joomla3.7 แล้วกด Eenter รอสักครู่ก็จะแสดงหน้า Configuration หรือการตั้งค่าหลักของเว็บขึ้น

ขั้นตอนที่ 5. เมื่อแสดงหน้า Configuration หรือการตั้งค่าหลักของเว็บ ให้เราทำการเลือก Select Language เป็นภาษาไทย จากนั้นก็กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนต่างๆที่สำคัญ ให้ครบ
5.1 Site Name : ชื่อเว็บไซต์
5.2 Administrator Email : อีเมลล์ผู้ดูแลระบบ
5.3 Administrator Username : ชื่อผู้ดูแลระบบ
5.4 Administrator Password : รหัสผ่านผู้ดูแลระบบ
5.5 Confirm Administrator Password : ยืนยันรหัสผ่านผู้ดูแลระบบ
5.6 เมื่อทำการกรอกรายละเอียดที่สำคัญครบแล้วให้คลิกปุ่ม Next หรือต่อไป
แสดงหน้า Configuration

ขั้นตอนที่ 6. หลังจากที่คลิกปุ่ม Next หรือต่อไป ก็จะแสดงหน้า Database Configuration เป็นการกำหนดค่าฐานข้อมูล มีช่องข้อมูลสำคัญที่ต้องทำการกรอก
6.1 Host Name : ชื่อของ host กรอกเป็น localhost
6.2 Username : ผู้ใช้งาน เช่น root
6.3 Database Name : ชื่อฐานข้อมูล จากตัวอย่างเป็น joomla3.7
6.4 เมื่อกรอกรายละเอียดสำคัญครบแล้วให้คลิก Next หรือต่อไป เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
แสดงหน้า Database Configuration

ขั้นตอนที่ 7. คลิก Next หรือต่อไป ก็จะขึ้นหน้าแสดงภาพรวมการกำหนดค่าทั้งหมดที่ได้กำหนดมา เราสามารถตรวจดูรายละเอียดขอมูลว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องแล้ว ให้คลิก Install เพื่อทำการติดตั้ง
แสดงภาพรวมการกำหนดค่าทั้งหมด

ขั้นตอนที่ 8. หลีงจากที่เราทำการคลิก Install หรือติดตั้ง เพื่อทำการติดตั้ง ให้รอโปรแกรมทำการติดตั้งสักครู่


ขั้นตอนที่ 9. เมื่อเราทำการติดตั้งเสร็จ ก็จะขึ้นหน้าจอเว็บของ Joomla ให้เราคลิกที่ Remove Installation Folder
คลิกที่ Remove Installation Folder

ขั้นตอนที่ 10. เมื่อคลิกที่ Remove Installation Folder แล้วโฟล์เดอร์ Installation ในโฟล์เดอร์ Joomla ก็จะหายไป
แสดงโฟล์เดอร์ Installation

ขั้นตอนที่ 11. หน้าตาของเว็บเมื่อทำากราติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หน้าตาของเว็บ

ขั้นตอนที่ 12. หน้าแสดงของการเข้าสู่ระบบจัดการเว็บไซต์ของ Joomla 3.7
หน้าแสดงของการเข้าสู่ระบบ

ขั้นตอนที่ 13. หน้าเว็บไซต์ที่ใช้ในการจัดการส่วนต่างๆของ Joomla 3.7

เป็นอันเสร็จสิ้น



วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

บทที่ 5 วัฏจักร (วงจรชีวิต) การพัฒนาระบบการจัดการความรู้

Compare CSLC and KMSLC​


Conventional System Life Cycle versus KM System Life Cycle
วงชีวิตการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม กับ วงจรพัฒนาการจัดการเรียนรู้

Key Differences ความแตกต่างที่สำคัญ
  1. นักวิเคราะห์ระบบจะกระทำกับสารสนเทศที่มาจากความต้องการของผู้ใช้
  2.  ผู้ใช้งานจะรู้ปัญหาเป็นอย่างดีแต่ไม่รู้ทางแก้ ตรงกันข้ามผู้เชียวชาญจะรู้ทั้งปัญหาและทางแก้
  3. วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมโดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนที่เป็นลำดับ มาก่อนมาหลัง​ KM SLC การพัฒนาแบบเพิ่มพูลพัฒนาทีละส่วนจนเสร็จก่อนถึงจะนำไปใช้ได้​
  4. การทดสอบระบบ ปกติจะกระทำขั้นตอนสุดท้ายของวงจร แต่ถ้าป็น KM system testing จะเข้าไปมีส่วนตั้งแต่เริ่มต้นเลย
  5. วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่อนไปด้วยกระบวนการ หรือเรียกว่า มีการกำหนดความต้องการและค่อยสร้างมันขึ้นมา ​แต่ ถ้าเป็นวงจรชีวิตของ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ ไม่ได้มุ่งเน้นถึงกระบวนการ เราจะต้องได้ระบบนี้ขึ้นมาใช้​ 
➤Key Similarities​ หลักที่สำคัญ
  1. ทั้งสองของวงจรเริ่มต้นด้วยปัญหาและสิ้นสุดด้วยทางแก้
  2. ทั้งสองเริ่มต้นจากการไปเก็บรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากผู้ใช้
  3. ระบบทำงานได้ถูกต้อง ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมันเป็นระบบที่เหมาะสม ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้งาน
  4. ผู้พัฒนาระบบทั้งสองแบบมักจะเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมหลายๆวิธี หลายเครื่องมือมาใช้สำหรับการออกแบบระบบที่เขาคาดหวัง ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
➤ผู้ใช้กับผู้เชี่ยวชาญ
  1. ถ้าเป็นระบบแบบดั้งเดิมผู้ใช้จะขึ้นตรงต่อระบบจ่อความต้องการค่อนข้างสูงแต่ผู้เชียวชาญจะต่ำ จนถึงไม่เลย
  2. ความร่วมมือ ต้องการความร่วมมือจากผู้ใช้ แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่ต้องการ
  3. ความแปรปรวน ความคลุมเคลือ ผู้ใช้จะน้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญมาก
  4. ความรู้เกี่ยวกับปัญหา ผู้ใช้จะรู้ปัญหามาก ผู้เชี่ยวชาญค่อนข้างกลางๆ-น้อย
  5. การมีส่วนร่วมผู้ใช้จะเอาสารสนเทศที่ระบบสร้างขึ้นมาใช้งาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเอาสารสนเทศที่ระบบสร้างขึ้นมาใช้งาน
  6. ความพร้อมในการพัฒนาระบบ ผู้ใช้ค่อนข้างพร้อมใช้งาน ผู้เชี่ยวชาญไม่ เพราะ เขาจะไม่เปิดเผยก็ได้
ขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้มี 8 ขั้นตอน
  1. ประเมินโครงสร้างเพื่อนฐานที่มีอยู่
  • มีความรู้อะไรมั้ยที่จะหายไปจากการเกษียรอายุ แต่เขายังไม่ได้ถ่ายทอดทั้งหมดมันก็จะหายปพร้อมกับตัวเขา หรือหายไปจากการโอนย้ายไปอีกฝ่ายนึง
  • ระบบ KM ที่นำเสนอต้องนำมาใช้ในหลายๆพื้นที่ ​หลายๆฝ่ายหรือป่าว อาจจะต้องมีความซับช้อนมากขึ้น​
  • ผู้ชี่ยวชาญมีอยู่รึป่าว มีความตั้งใจรึป่าว
  • ปัญหาต่างๆที่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบต้องใช้ประสบกาณยาวนานหลายๆปีรึป่าว ต้องใช้ tacit รึป่าว 

     2.จัดตั้งทีม KM​
  • ผู้ที่เป็นหลัก ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบ KM​
  • ความสามารถของสมาชิกในทีม
  • ขนาดของทีม ทีมที่จะประสบความสำเร็จ ขนาด 7 คนโดยเฉลี่ย
  • ความซับซ้อนของโครงการ ถ้าซับซ้อนมากโอกาสที่ทีมจะสำเร็จน้อย
  • ภาวะผู้นำ ความสามรถที่จะดึงดูดให้ลูกน้อมาทำงานด้วยความเต็มใจ สั่งไปแล้วลูน้องไม่ทำคือไม่มี
  • ภาวะผู้นำ ​แรงจูงในของทีม
  • ไม่สัญญามากไปกว่าสิ่งที่เราจะส่งมอบ สิ่งที่เป็นความเป็นจริงของระบบที่เราจะส่งมอบ

     3. แหล่งความรู้
  • ความรู้ที่ชัดเจนจับในที่เก็บจากสื่อต่าง ๆ
  • ความรู้ที่เงียบสงบถูกบันทึกจากผู้เชี่ยวชาของ บริษัท โดยใช้เครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ
  • นักพัฒนาจะไปดึงความรู้จากผู้เชียวชาญมาสร้างฐานความรู้มาไว้ในระบบ เพื่อนที่จะมา input ในการประมวลผลและได้ความรู้ต่างๆ

     4. ออกแบบพิมพ์เขียว
  • ขั้นของการออกแบบพิมพ์เขียวของระบบ KM ออกแบบได้ในหลายๆทาง สุดท้ายแล้วขอบเขตที่เราต้องการมันจะต้องถูกคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ
  • มีการตัดสินใจอยู่บนองค์ประกอบของความต้องการของระบบ
  • มีการพัฒนาระบบดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมการพัฒนาระบบ Km​
  • ระบบนี้อาจจะต้องสามารถใช้งานระว่างโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกันได้ สามารถขยายขนาดได้ ​

     5. ทดสอบระบบ
  • วิธีการตรวจสอบความเหมาะสมของระบบ เพื่อที่จะแน่ใจว่าระบบมีฟังก์ชั่นการทำงานที่เหมาะสม
  • วิธีการตรวจสอบเพื่อที่จะแน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์ที่ถูต้อง
  • ตรวจสอบความถูกต้องของ KM ที่ไม่ได้ผิดพลาดจากความประมาท ​เช่นเราจะต้องเขียนโปรแกรมให้อ่านแต่ตัวเลข

     6. ใช้งานระบบ

  • เปลี่ยนไปสู่ระบบ Km ใหม่
  • การเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในเอกสาร หรือกระดาษให้อยู่ในรูปแบบ DATA / file​
  • อบรมผู้ใช้งาน
  • ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล
  • ตรวจถึงความคลุมเครือ ​
  • ตรวจความผิดพลาดระหว่าง เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด 
     7. การเอาระบบไปใช้



  • เป้าหมายคือต้องการลดแรงต่อต้านที่จะเกิดขึ้นจากผู้เชียวชาญ
  • ผู้ใช้
  • พนักงาน
  • ผู้ที่ก่อกวน
  • สะท้อนออกมาในรูปปฏิกิริยาโต้ตอบ เช่น บอกให้จะต้องกำหนด pass ไม่ตำว่า 8 หลัด เขาอาจจะไม่ทำตาม หลีกเลี่ยง ก้าวร้าว ​

     8. ประเมินผลจากการที่เอาระบบไปใช้แล้ว

  • ผลกระทบ
  • คน
  • ประสิทธิภาพของธุรกิจ
  • ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพ จะสามารถทำให้เราแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
  • ทัศนคติของผู้ใช้งาน ผลลัพธ์ของการเอาระบบไปใช้ จะให้มองเห็นถึง ​
  • ต้นทุน เช่น ค่าใช้จ่าย วัสดุ สนง. กระดาษ กล้อง รวมถึงต้อนทุนที่เราจะปรับระบบให้ทันสมัย